วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปัญหาจากถุงยางอนามัย

ปัญหาจากถุงยางอนามัย
การใช้ถุงยางอนามัยในขณะที่ภรรยาตั้งครรภ์ จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่ เพราะในถุงยางอนามัยมีสารหล่อลื่นที่ผสมตัวยาฆ่าเชื้อบางตัวอยู่
ผู้ถาม สมชาติ/กรุงเทพฯ
ผู้ตอบ นพ.พนิตย์ จิวะนันทประวัติ
ถาม
ผมอายุ 35 ปี ภรรยาอายุ 27 ปี แต่งงานกันมาได้ประมาณ 1 ปี 6 เดือน ภรรยาเคยตั้งครรภ์ 2 เดือนแล้วแท้ง ปัจจุบันภรรยาตั้งครรภ์ได้เกือบ 4 เดือนแล้ว ผมกับภรรยาใช้วิธีคุมกำเนิดแบบนับวันและใช้ถุงยางอนามัย ครั้งหลังสุดก่อนที่จะรู้ว่าภรรยาตั้งครรภ์ ผมร่วมเพศโดยใช้ถุงยางอนามัย
ขอเรียนถามว่า การใช้ถุงยางอนามัยในขณะที่ภรรยาตั้งครรภ์นั้น จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ในด้านการเจริญเติบโตของอวัยวะและด้านสติปัญญาหรือไม่ เพราะในถุงยางอนามัยนั้น ผมทราบว่า เคลือบสารหล่อลื่นที่มีตัวยาฆ่าเชื้ออสุจิ และตัวยาฆ่าเชื้อโรคบางตัว เช่น ฆ่าเชื้อเริมรวมอยู่ด้วย จึงกลัวจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
ตอบ
ปัญหาของคุณอยู่ที่ว่า ถุงยางอนามัยจะมีผลกับทารกในครรภ์หรือไม่
ความจริงแล้วคนที่ใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิดแล้วเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาก็มีอยู่มิใช่น้อย แบบเดียวกับกรณีของคุณนี่แหละครับ แต่ก็ไม่มีใครเขาคิดถึงจุดนี้ เหตุการณ์จึงผ่านไปโดยที่ไม่มีการกังวลใจแต่อย่างใด เด็กๆ ที่เกิดมาก็สบายกันดีทุกคน
ในทุกวันนี้มีประมาณหนึ่งร้อยล้านคู่สมรสที่นิยมใช้ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับได้ว่าเป็นประเทศที่มีประชากรกลัวความพิการมาแต่กำเนิดมากที่สุด เพราะมีตัวอย่างให้เห็นกันมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวญี่ปุ่นจึงระมัดระวังในเรื่องนี้มาก เรื่องอะไรก็ตามที่จะไปกระทบกระเทือนหรือคิดว่ามีผลต่อการตั้งครรภ์ ชาวญี่ปุ่นเป็นหลีกเลี่ยงไว้ก่อน
ปรากฏว่า ชาวญี่ปุ่นไม่นิยมใช้ยาคุม (ไม่ว่าจะกินหรือฉีด) เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราว แต่นิยมใช้ถุงยางอนามัยแทน เพราะเห็นว่าปลอดภัยที่สุด และเป็นที่แน่นอนว่าการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยนี้ ประสิทธิภาพอย่างเก่งก็ประมาณร้อยละ 95 โดยเฉลี่ย จึงมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่ใช้ถุงยางอนามัย และก็แน่นอนอีกว่า จำนวนหนึ่งที่ตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจนี้ เด็กจะไม่มีโอกาสออกมาดูโลก เพราะถูกทำแท้งเสียก่อน ในประเทศญี่ปุ่นเขาอนุญาตให้ทำแท้งได้เมื่อจำเป็น แต่เด็กอีกจำนวนหนึ่งก็ได้มีโอกาสลืมตาดูโลก เรียกว่าเป็นเด็ก “ดวงแข็ง” ยังไม่เคยมีรายงานทางการแพทย์ออกมาเลยว่า คนที่ใช้ถุงยางอนามัยแล้วพลาดท่าตั้งครรภ์ขึ้นมา (ไม่ว่าจะใช้เวลาไหนก็ตาม) มีผลทำให้เด็กพิการ ขอให้คุณสบายใจได้
ที่ผมยกเอาชาวญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างนั้น ก็เพราะว่าคุณหรือใครๆ คงจะรู้จักประเทศญี่ปุ่นดีว่า บุคลากรหรือทรัพยากรมนุษย์ของเขานั้นเป็นอย่างไร
ที่สำคัญที่สุด ชาวญี่ปุ่นนิยมถุงยางอนามัยเป็นอันดับหนึ่งในการคุมกำเนิด ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในกรณีที่จะตั้งครรภ์ในโอกาสต่อไป เขาไว้ใจถุงยางอนามัย ว่างั้นเถอะ
เมื่อเป็นเช่นนี้พอจะรับประกันได้นะครับว่า ถุงยางอนามัยปลอดภัย แม้ว่าถุงยางอนามัยนั้นจะเคลือบด้วยสารที่เลือกสรรแล้วหลายๆ ชนิด และสารทั้งหลายเหล่านั้นต่างก็ผ่านการรับรองของทางการแพทย์มาแล้วทั้งสิ้น สบายใจได้นะครับ

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับถุงยาง

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับถุงยาง
" ใส่ถุงแล้วไม่แมน ไม่ใส่ดีกว่า "  "ไม่เป็นธรรมชาติ ขอแบบเนื้อแนบเนื้อดีกว่า" ฯลฯ ความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ถูกปลูกฝังอยู่ในจิตสำนึกของหนุ่มไทยหลายๆ คน ร้ายกว่านั้นบางคนเชื่อว่าการจะตั้งครรภ์หรือติดโรคอะไรสักอย่าง ไม่เห็นจะเกี่ยวกับการใส่ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกัน แต่มันอยู่ที่ความสามารถเฉพาะบุคคลมากกว่า ซึ่งถ้าใครทำได้จะดูดีมาก ซึ่งความคิดเหล่านี้หากถูกปล่อยทิ้งไว้จะยิ่งเหมือนเป็นภัยร้ายต่อผู้คิด นานๆ ไปจะกลายเป็นปัญหาระดับชาติได้ ฉบับนี้เรารวบรวม 10 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องถุงยางมาให้ดูกันครับ ทั้งหมดเป็น 10 ความเชื่อผิดๆ ที่ไล่เรียงเกี่ยวกับถุงยางอนามัย ในอนาคตอันใกล้อาจจะมีความเชื่อที่ไม่ตรงกับหลักความเป็นจริงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก ก็ใช้วิจารณญาณในการใช้ดีกว่าครับ เพื่อให้รอดและปลอดภัยจากสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ต้องการ เข้าทำนอง "อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แต่อย่าเลยเถิดถ้าไม่มีถุงยาง "

1. ถุงยางอนามัย ใส่แล้วไม่แมน

ความเชื่อแบบนี้ผิดแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะสิ่งที่จะบ่งบอกความเป็นลูกผู้ชายนั้นมีอีกหลายอย่าง และในความเชื่อของผู้หญิงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ การมีเซ็กซ์กันโดยไม่ใส่ถุงยางอนามัยป้องกันนั้นถือเป็นการไม่ให้เกียรติด้วยซ้ำ ถึงแม้เนื้อต่อเนื้อจะให้ความรู้สึกดีกว่าก็ตาม แต่การป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลังก็ถือว่าเราเป็นลูกผู้ชายเช่นกัน ยิ่งในปัจจุบันถุงยางอนามัยถูกออกแบบให้บางเฉียบจนแทบไม่รู้สึกว่าสวมใส่อยู่ ดังนั้นเปลี่ยนความคิดแบบนี้ได้เลย

2. ถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ได้

ความเชื่อแบบนี้ทำให้ใครหลายคนคิดว่าถ้าป้องกันไม่ได้ก็ไม่ต้องใส่ก็แล้วกัน แต่ในความเป็นจริง การไม่ใส่อะไรเลยในการมีเพศสัมพันธ์จะยิ่งน่ากลัวกว่าเสียอีก หากถุงยางที่คุณสวมใส่ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตก ไม่ฉีกขาด ก็สามารถป้องกันเชื้อต่างๆ ได้ เพราะผลจากการทดลองยืนยันว่าเชื้อโรคอย่าง HIV ไม่สามารถลอดผ่านเนื้อเยื่อของถุงยางอนามัยที่ได้รับรองมาตรฐานได้ ที่สำคัญในการประชุมเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ล่าสุดที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย บ่งชี้ว่าการใช้ถุงยางอนามัยนับว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรคติดต่อเหล่านั้นได้ (แต่อย่าลืมนะครับว่าเขาแค่ป้องกัน ไม่ใช่ฆ่าเชื้อ HIV)
3. ถุงยางหลากสี หลายกลิ่น อันตราย
ปัจจุบัน ผู้ผลิตถุงยางอนามัยออกถุงยางกลิ่นและรสชาติใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบความท้าทายทางเพศสัมพันธ์ โดยสารที่นำมาใช้นั้นก็ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองในจุดที่สำคัญแต่อย่างใด รวมทั้งสีและกลิ่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในถุงยางอนามัย ก็เป็นสารที่ได้รับการรับรองแล้วว่าปลอดภัย ถึงแม้จะกลืนหรือกินลงไปก็ตามแต่ถ้าใครทำใจไม่ได้จริงๆ เป็นห่วงแฟนกลัวว่าสารเหล่านี้จะเข้าไปสะสมในร่างกายมาก ก็เลือกใช้ถุงยางแบบที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่นแทนก็ได้

4. ถุงยางผิดไซส์ ไม่ธรรมชาติ

การเลือกขนาดของถุงยางอนามัยก็มีส่วนช่วยทำให้การมีเพศสัมพันธ์ดีขึ้นได้ ปัจจุบันส่วนใหญ่ที่เราเห็นกันจะมีสองไซส์ คือ ขนาด 49 มม. กับ 52 มม. แต่ก็มีบางรุ่นที่มีใหญ่กว่าปกติ เอาเป็นว่าเลือกให้เหมาะกับขนาดของตัวเองจะดีที่สุด เพราะหากเกิดการเลื่อนหลุดหรือฉีกขาดขึ้นมา คนที่จะเครียดไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นคนใส่นั่นเอง

5. ถุงยางไม่ธรรมชาติ นับวันธรรมชาติกว่า
ความเชื่อข้อนี้ยิ่งทำให้คุณเข้าใกล้ความเป็นพ่อคนมากขึ้น หรือถ้าเป็นผู้ที่รักสนุกเฉยๆ ก็มีแววสูงในการเสี่ยงที่จะเป็นโรคติดต่อ อย่างแรกก็คือธรรมชาติของฝ่ายหญิงนั้น การตกไข่ถึงแม้จะนับวันได้ว่าจะสุกช่วงไหน มีประจำเดือนช่วงไหน แต่ก็อาจจะมีคลาดเคลื่อนบ้างเนื่องจากความเครียดหรือร่างกายผิดปกติได้ นอกจากนี้การไม่สวมถุงยางนั้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือถ้าเป็นโชคดีร่างกายของฝ่ายหญิงมีอาการผิดปกติ ตกไข่ทีเดียวเดือนละสองใบ ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ วิธีแก้ง่ายๆ ครับ ใส่ถุงครับ ใส่ถุง

6. ถุงยางกลับด้าน รู้สึกแปลกใหม่

ความคิดคนสมัยนี้ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัวครับ ไม่รู้ว่ามีใครเคยได้ยินบ้างหรือเปล่าว่าใส่ถุงยางกลับด้านแล้วจะสนุกกว่าเดิม ความจริงแล้วการใส่ถุงยางก็เหมือนกับการใส่แว่นหรือคอนแทกเลนส์น่ะครับ คือต้องใส่ให้ถูกต้อง มันถึงจะชัดเจน และไม่เจ็บครับ

7. ถุงยางหลายชั้น อึดกว่าป้องกันหนาแน่น

เสี่ยงเกินกว่าจะเชื่อครับ เพราะการใส่ถุงยางอนามัยเกินกว่า 1 ชั้นขึ้นไป มีโอกาสที่ชั้นของถุงยางจะเกิดการเสียดสีกันและทำให้เกิดการฉีกขาดได้ เพราะจริงๆ แล้วถุงยางอนามัยถูกออกแบบมาให้ใช้แบบใส่ชั้นเดียว ส่วนความรู้สึกที่ว่าอึดกว่าเดิมหรือไม่นั้น ก็อาจจะมีส่วนเพราะว่าการสวมใส่แบบสองชั้นจะช่วยทำให้ความรู้สึกลดลงไปด้วย ดังนั้นก็ต้องเลือก แต่ถ้าอยากให้อึดจริงๆ ปัจจุบันเขาก็มียาใช้เฉพาะที่อยู่แล้วครับ 

8. ถุงยางทาน้ำมัน ลื่นปรื๊ดๆ

ผิดแล้วก็ยังผิดซ้ำผิดซาก การใช้สารอะไรก็ตามที่ไม่ได้ถูกระบุว่าให้ใช้เฉพาะทาบริเวณถุงยางอนามัยถือเป็นการเสี่ยงที่จะทำให้ถุงยางคุณภาพลดลงอย่างตั้งใจ และมีโอกาสที่จะฉีกขาดหรือรั่วได้ ยิ่งหากเป็นสารบางชนิดจะทำให้ยางละลาย ทำให้ถุงยางที่เราใช้มีโอกาสแตกได้มากขึ้นกว่าเดิม เอาเป็นว่าแบบเดิมๆ ก็ดีแล้วครับ หรือถ้าอยากได้แบบลื่นๆ เขาก็มีเจลที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เฉพาะที่

9. ถุงยางทำได้ทุกท่วงท่า โลดโผนโจนทะยาน

อย่าคิดว่าสิ่งที่คุณกำลังใส่อยู่นั้น สามารถรองรับทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ เพราะของย่อมมีแตกหักและเสื่อมสลาย ดังนั้นการกระทำที่รุนแรงหรือเซ็กซ์ที่ยาวนานเกินไป อาจมีผลทำให้ถุงยางฉีกขาดหรือแตกได้ ขอแบบพอดีๆ ดีกว่าครับ

10. ถุงยางใช้ซ้ำได้

ใครที่เชื่อหรือมีพฤติกรรมแบบนี้อยู่ เลิกด่วนครับ เพราะอันตรายมาก นอกจากจะไม่ป้องกันโรคแล้ว ยังก่อให้เกิดการเสียดสีที่เป็นอันตรายต่อทั้งของคุณและของแฟนคุณครับ เพราะถุงยางอนามัยนั้นจะมีสารหล่อลื่นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

เรื่องเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ >> 10 ถุงยางอนามัย ที่หนุ่มๆ ไม่ควรพลาด

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ถุงยางอนามัย

ข้อดีข้อเสียของการใช้ ถุงยางอนามัย


ข้อดีข้อเสียของการใช้ถุงยางอนามัย
ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย
-          หาซื้อง่าย ไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์ ถุงยางอนามัย มีแจกจ่ายตามโรงพยาบาลและที่สาธารณะทั่วไปไม่มีผลข้างเคียงในการใช้คุมกำเนิดเหมือนการทานยาคุมกำเนิดของผู้หญิง
-          ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะน้ำอสุจิ เชื้อโรค หรือแบคทีเรียต่าง ๆ ไม่สามารถทะลุผ่าน ถุงยางอนามัย ได้ยกเว้น ถุงยางอนามัย ที่ผลิตมาจากลำไส้ของสัตว์เท่านั้น
-          สามารถมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฝ่ายหญิงมีประจำเดือนหรือที่เรียกกันว่าฝ่าไฟแดงได้ (ไม่แนะนำ)
-          ป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกให้แก่ฝ่ายหญิง
-          ราคาถูกและปลอดภัยกว่าการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นการสวมใส่และใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ถึง 98%
-          มีหลายรูปทรง หลายกลิ่น หลายสี สามารถเพิ่มพูนความสุขระหว่างร่วมรักได้ง่าย

ข้อเสียของการใช้ถุงยางอนามัย
-          อาจเกิดอาการแพ้ คัน และผื่นแดงขึ้น มีอาการแพ้ได้ทั้งชายและหญิงแต่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด สามารถทานยาแก้แพ้หลังจากเสร็จสิ้นการมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ทางที่ดีควรเปลี่ยนถุงยางอนามัยเป็นชนิดที่ไม่เกิดอาการแก้ดีกว่า อย่างเช่น ถุงยางอนามัย ที่ผลิตมาจากโพลียูรีเทนราคาแพงไปสักนิดแต่ก็ดีกว่ามานั่งทานยาแก้แพ้อยู่เรื่อย ๆ
-          การสวมใส่ ถุงยางอนามัย ผิดวิธีหรือไม่ระวังมีโอกาสทำให้ลื่นหลุดหรือฉีกขาดทำให้การร่วมรักสะดุดกึก ไม่ต่อเนื่อง ดูไม่เป็นธรรมชาติ ยิ่งมือใหม่ใส่ไม่ช่ำชองจะพาลหมดอารมณ์ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
-          เมื่อหลั่งเชื้ออสุจิเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบถอนออกมาถอด ถุงยางอนามัย ด้วยความระมัดระวัง การปลอดแช่ทิ้งไว้ที่อวัยวะเพศหญิงอาจจะทำให้ถุงยางอนามัยหลุดออกคาช่องคลอด

ใครที่เหมะที่จะใช้ถุงยางอนามัย
-          ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่มิใช่สามีภรรยาของตน
-          ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือมิตั้งใจก็ตาม
-          ผู้หญิงและผู้ชายที่ต้องการคุมกำเนิด การใช้ ถุงยาง เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ปลอดภัย รวดเร็ว และมีราคาถูกที่สุด
-          ถุงยางอนามัย สามารถใช้ได้ไม่จำกัดเพศจำกัดวัย โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่เป็นวัยคึกคะนองควรใช้ ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์

การใช่ถุงยางอนามัยในการคุมกำเนิด

การใช้ถุงยางอนามัย

ภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งครรภ์ด้วย แต่ฝ่ายชายจำนวนไม่น้อยใส่ถุงยางอนามัยไม่ถูกต้อง ที่ถูกก็คือต้องบีบปลายถุงยางไล่อากาศก่อน จากนั้นจึงสวมแล้วรูดให้สุดโคน เมื่อผู้ชายหลั่งน้ำอสุจิเสร็จแล้วต้องรีบดึงถุงยางออกนะ อย่าให้น้ำอสุจิเลอะเทอะออกมาภายนอก ห้ามใช้ซ้ำเด็ดขาดนะ แถมยังห้ามใช้กับสารหล่อลื่นประเภทน้ำมันด้วย ต้องใช้กับสารที่ออกแบบมาให้ใช้กับถุงยางอนามัยเฉพาะ

วิธีนี้ป้องกันได้ 98% แต่มีข้อเสียนิดหน่อยตรงที่ เจ้าถุงยางอนามัยนี้อาจฉีดขาดหรือหลุดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้

ถ้าเกิดหลุดหรือฉีกขาดก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะทางแก้ยังมีนั้นคือ ต้องรีบรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์

ถุงยางอนามัยส่วนใหญ่ทำจากยางลาเท็กซ์ใช้สวมคลุมอวัยวะเพศชายในระหว่างร่วมเพศ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้ออสุจิของฝ่ายชายเข้าไปผสมกับไข่ของฝ่ายหญิงผู้ที่เหมาะในการใช้ถุงยางอนามัย ได้แก่
  1. ผู้ที่อยู่ในระยะหลังคลอดใหม่ ๆ หรืออยู่ในระหว่างการให้นมบุตร
  2. ผู้ที่ยังหาวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมไม่ได้ หรือ ไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์
  3. ฝ่ายหญิงเป็นโรคที่เป็นข้อห้ามในการคุมกำเนิดวิธีอื่น
  4. ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์
  5. ใช้ร่วมกับการนับระยะปลอดภัย
  6. เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับวัยรุ่น
ข้อดีของการใช้ถุงยางอนามัย
  1. ปลอดภัย ราคาถูก หาได้ง่าย พกพาสะดวก ใช้ได้เองโดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์
  2. ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  3. มีประสิทธิภาพสูงถ้าใช้อย่างสม่ำเสมอ และใช้อย่างถูกวิธี
  4. ช่วยยืดเวลาการหลั่งน้ำอสุจิของฝ่ายชาย
  5. ไม่มีผลต่อการเจริญพันธ์เมื่อหยุดใช้
ข้อเสียของการใช้ถุงยางอนามัย
  1. มีควรมล้มเหลวสูงจากผู้ที่ใช้ไม่ถูกวิธี
  2. ขัดจังหวะในการมีเพศสัมพันธ์ และลดความรู้สึกสัมผัสของทั้งสองฝ่ายขณะร่วมเพศ
  3. ทั้งชายและหญิงอาจเกิดการระคายเคืองจากยางลาเท็กซ์หรือสารหล่อลื่น

การเลือกถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย
การเลือกซื้อถุงยางอนามัย

 ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ 
         ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ เมื่อถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ก็ต้องมีกฎหมายรับรอง ต้องมีประกาศมาตรฐาน ควบคุมการผลิต กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเป็นกฎกระทรวงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2535 ว่าให้ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด หรือใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  การเลือกซื้อถุงยางอนามัยมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้
       
อ่านฉลากก่อนซื้อ จะทำให้ทราบว่า ถุงยางอนามัยดังกล่าว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง มีความเหมาะสม ตรงกับความต้องการหรือไม่ ข้อความสำคัญที่ควรพิจารณาจากฉลากได้แก่

  เครื่องหมาย อย. 
      
 เป็นการแสดงว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือยัง โดยสังเกตข้อความที่แสดง ตามตัวอย่างด้านล่าง ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ที่ อย. ผ. ../ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการผลิตในประเทศ หรือ อย. น…/ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการนำเข้า ฯ
  วันหมดอายุ การกำหนดวันหมดอายุของถุงยางอนามัย ผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดเองตามความเหมาะสมผู้ซื้อสามารถสังเกตว่าถุงยางอนามัยหมดอายุหรือไม่ โดยการสังเกตคำว่า  "หมดอายุ" หรือ "ต้องใช้ก่อน" ซึ่งจะแสดง เดือน และ ปี ที่หมดอายุไว้ทั้งบนฟอยล์บรรจุหนึ่งชิ้นและบนซองหรือกล่องย่อย ดังตัวอย่างข้อความที่มีการแสดง
  • ต้องใช้ก่อน 6/2542" เป็นการแสดงวันหมดอายุโดยใช้คำที่เข้าใจง่าย และตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวจะหมดอายุ หรือไม่ควรใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมิถุนายน 2542 เป็นต้นไป
  • หมดอายุ 6/2542" การแสดงข้อความโดยใช้คำว่าหมดอายุ เมื่ออ่านผ่าน ๆ แล้ว อาจไม่มีข้อสงสัยอะไร แต่จะพบว่ามีความเข้าใจเป็น 2 กลุ่ม 
     
    • กลุ่มแรก มีความเข้าใจว่าเดือนมิถุนายน 2542 ถุงยางอนามัยยังสามารถใช้ได้ และจะหมดอายุตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542
    • กลุ่มที่ 2 เข้าใจว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว หมดอายุตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542จากคำนิยามคำว่า "วันหมดอายุ" หมายความถึง วันกำหนดที่แจ้งบนฉลากสำหรับการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งแสดงว่าในช่วงระยะเวลาก่อนวันนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังคงมีคุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนด วันเวลาดังกล่าว ได้จากการรวมอายุของผลิตภัณฑ์ต่อจากวันที่ผลิตแต่ละครั้ง วันสิ้นอายุแจ้งเป็น เดือน ปี ท่านั้น หมายความว่า ลิตภัณฑ์ยังคงมีคุณภาพตามข้อกำหนดจนถึงวันสุดท้าย ของเดือนนั้นดังนั้นในกรณีที่มีการแสดงข้อความว่า "หมดอายุ 6/2542" ความหมายที่ถูกต้อง คือ ถุงยางอนามัยดังกล่าวมีอายุการใช้งานจนวันที่ 30 เดือนมิถุนายน 542 หรือไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นไป
  การเก็บรักษา       
         ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้ด้วยตัวของมันเอง เมื่อระยะเวลาผ่านไป แต่จะเสื่อมสภาพได้มากขึ้นหากมีการเก็บรักษาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนด จึงควรมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้
  • ไม่ควรเก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อนหรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์
  • ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน
  • ไม่ควรเก็บในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น ในกระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย
ข้อควรระวัง
  ระยะเวลา การใช้ถุงยางอนามัยต้องใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งห้ามนำกลับมาใช้ใหม่และการใช้แต่ละชิ้นไม่ควรนานเกิน 30 นาทีเพราะหากใช้เป็นระยะเวลานานความแข็งแรงและความทนทานของถุงยางอนามัยอาจลดลงและทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้
  การใช้ร่วมกับสารหล่อลื่น การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่นด้วย สารหล่อลื่นที่ใช้เป็นชนิดที่มีน้ำหรือซิลิโคนเป็นตัวละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วาย เจลลี่ ในกรณีที่ผู้ใช้พึงพอใจให้มีการหล่อลื่นเพิ่มขึ้นโดยใช้สารหล่อลื่นมาทาถุงยางอนามัยเพิ่มนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นประเภท น้ำมันพืช น้ำมันแร่ เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร ฯลฯ เนื่องจากน้ำมันจะไปทำปฏิกริยากับยาง และสามารถทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและมีรูรั่วได้
  การใช้ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ ปัจจุบันพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษเช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมีขอบตาแพะ ถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิตหรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียงเพื่อสร้างความสุขและความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวดระคายเคืองมากกว่า และอาจก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น  จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้
             ผู้ชายบางท่านมีเทคนิคพิเศษในการใช้ถุงยางอนามัย เช่น การใส่หลาย ๆ ชั้นเพื่อป้องกันโรคหรือเพิ่มขนาด ซึ่งจะไม่มีผลเสียใด ๆ และสามารถลดความเสี่ยงจากการแตกของถุงยางอนามัยได้ แต่สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขนาดนั้น จะไม่สามารถเพิ่มได้มากเท่าใดนัก เพราะถุงยางอนามัยแต่ละชิ้นบางมาก ๆ แต่จะทำให้เกิดความสิ้นเปลือง และความรู้สึกที่ได้รับลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำถุงยางอนามัยมาใส่หลาย ๆ ชั้นโดยซ้อนกันแบบให้มีลอนเป็นระยะ ๆการใช้ในลักษณะดังกล่าว เป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสมเช่นกันเนื่องจากจะทำให้เกิดลักษณะพื้นผิวที่ไม่เรียบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บปวดแก่เพศหญิงได้
         แม้ว่าถุงยางอนามัยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถใช้ในการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพอย่างถูกต้องเหมาะสมก็มิใช่เป็นวิธีการป้องกันโรคเอดส์ได้ร้อยเปอร์เซนต์ การละเว้นจากการสำส่อนทางเพศจะเป็นความปลอดภัยและสามารถป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
ตู้หยอดเหรียญ
       ในปัจจุบันปัญหาโรคเอดส์  ยังส่งผลให้ตระหนักถึงการรณรงค์แก้ไขปัญหาเอดส์อย่างต่อเนื่อง  โครงการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย 100%  ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยของหน่วยงานทั้งภาครัฐและองค์กรหลายๆแห่งร่วมกันรณรงค์ป้องกันและมิติใหม่ในการรณรงค์ด้วยการติดตั้งตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยบริการตามสถานที่ต่างๆ  นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดหาถุงยางอนามัยโดยไม่จำกัดเวลา สถานที่ และลดความเขินอาย จากการเผชิญหน้ากับผู้ขายหรือการไปขอรับฟรีจากสถานบริการสาธารณสุข
 ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ
ซึ่งจะมีบริการติดตั้งตามสถานที่ต่างๆนั้นจะปรากฎข้อความ“มีรักอย่างมั่นใจถุงยางอนามัยช่วยให้ท่านปลอดภัยจากการตั้งครรภ์,  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, เอดส์” บนตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอันเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย  100% ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
คุณสมบัติของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ

        ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยเป็นเครื่องหยอดเหรียญและจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ  โดยใช้เหรียญ(10,5 บาท)หยอดแลกซื้อถุงยางอนามัย 1 กล่อง บรรจุ 2 ชิ้น  ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้
สามารถติดตั้งได้สะดวก  และเคลื่อนย้ายได้ง่าย
  • มีน้ำหนักเบากะทัดรัด
  • เครื่องทำด้วยวัสดุแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย
สามารถกำหนดการหยอดเหรียญได้ไม่น้อยกว่า 2 ชนิด
  • มีระบบเก็บเหรียญอัตโนมัติที่ไม่ได้ขนาดตามที่กำหนด

         ปัญหาอุปสรรค ขณะนี้การติดตั้งตู้หยอดเหรียญ ได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วประมาณกว่า 2,000 ตู้  ทั่วประเทศ  เนื่องจากประสพปัญหาในการรณรงค์และขอความร่วมมือ  ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในเฉพาะหน่วยงานสาธารณสุข  ในส่วนภาคเอกชนได้ประสบปัญหาต้นทุนในการประกอบการ   จำเป็นที่จะต้องจำหน่ายในราคา  10 บาท  ทำให้ไม่แพร่หลาย  ไม่เกิดความนิยมหรือจูงใจมากนัก และ  สถานประกอบการหลายแห่งเกรงว่าจะเสื่อมเสียภาพลักษณ์   ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมาก
ผลดีของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัย
  1. สามารถให้การสนับสนุนบริการถุงยางอนามัย
  2. ได้อย่างทั่วถึงในชุมชนท้องถิ่น/โรงแรม/สถานเริงรมณ์/สถานศึกษาอาชีวะ/หอพัก,อพาร์ทเม้นต์
  3. เป็นกลวิธีในการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่พึงประสงค์ โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สำหรับผู้มีรายได้น้อย
  4. สามารถประหยัดงบประมาณของรัฐที่จะจัดซื้อถุงยางอนามัย

บทสรุป         การมีตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยติดตั้งให้บริการตามโรงแรม  สถานเริงรมณ์   หอพัก  สถานศึกษาระดับอาชีวะฯ นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์  ตลอดจนลดปัญหาการทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นได้  เพราะเป็นการแก้ปัญหาได้ในกรณี  ที่คู่เพศสัมพันธ์ตระหนักถึงการป้องกันตนเอง  ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย  และไม่อยู่ในสถานะที่จะไปหาซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่กล้าซื้อตามร้านขายยา  ร้านสะดวกซื้อ  ที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ขายโดยตรง  รวมทั้งผู้ซื้อถุงยางอนามัยที่มีรายได้น้อยจะได้เข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากมีราคาถูกกว่า
    ถุงยางอนามัยป้องกันโรคเอดส์ได้จริงหรือ 
 
                                
 
     การมีเพศสัมพันธ์โดยมีการป้องกันใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพยังไม่หมดอายุ มีการสวมและ ถอดถุงยางอนามัย อย่างถูกวิธีรวมทั้งเลือกใช้ขนาดที่เหมาะสม สามารถ ป้องกันเอดส์ได้แน่นอนเกือบ 100% ถ้าถุงยางไม่หลุด รั่ว ฉีกขาดและไม่มีบาดแผลบริเวณ อวัยวะเพศ ที่ไปสัมผัสสารคัดหลั่งจาก อีกฝ่ายหนึ่ง ก็เชื่อมั่นได้เต็มที่ 
ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 
 
ถุงยางอนามัยสามารถกีดขวางไม่ให้ตัวเชื้ออสุจิและเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ เข้าสู่ช่องคลอดได้ดังต่อไปนี้
       1. ตัวเชื้ออสุจิ (spermatozoa) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 3000 นาโนเมตร
       2. เชื้อก่อโรคซิฟิลิส (Treponema pallidum) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 นาโนเมตร
       3. เชื้อก่อโรคหนองใน (Neisseria gonorrhoeae) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 800 นาโนเมตร
       4. เชื้อก่อโรคหนองในเทียม (C. trachomatis) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 200 นาโนเมตร
       5. เชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 นาโนเมตร
       6. เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี (hepatitis B virus) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 นาโนเมตร

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  ความนิยมและอัตราการใช้ถุงยางอนามัย
       ความนิยมใช้ถุงยางอนามัยมีอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการใช้สูงเกือบร้อยละ 20 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาใช้ไม่ถึงร้อยละ 5 ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก มีการใช้ถุงยางอนามัยเดสูงถึง ร้อยละ 80 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

           ส่วนประเทศไทย แต่ก่อนนี้มีการใช้น้อยมาก แต่ตั้งแต่โรคเอดส์ระบาดคนไทยใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  แต่การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดในคนทั่วไปก็ยังมีน้อย ก็ด้วยเหตุผลทางค่านิยมที่รังเกียจกลัวคนจะรู้ว่าตัวเองพกถุงยางอนามัย "อาย" ควรเปลี่ยนค่านิยมอันนี้เสียใหม่ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ 2 ทาง "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยคือคนที่มีความรับผิดชอบ"

  การใช้ถุงยางอนามัยให้ได้ผลปลอดภัยสูงสุด
   
    - เก็บในที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป ไม่ให้ถูกแสง ไม่ควรเก็บในกระเป๋ากางเกง ควรใส่ในกระเป๋าหลวมๆ
    - ใช้ถุงยางอนามัยใหม่ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    - เวลาเปิดไม่ควรใช้ปาก กรรไกร หรือ เล็บ เพราะอาจทำให้ถุงยางฉีกขาดได้
    - ห้ามใช้ vasalin baby oil หรือ cold cream ในการหล่อลื่น เพราะอาจทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพ รั่วและฉีกขาดได้
    - ไม่เหมาะที่จะใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะจะเกิดแรงเสียดสีมาก และเกิดเลือดออก   ได้ง่าย จึงไม่ปลอดภัยพอ
    - หากต้องการใส่ยาฆ่า sperm ให้บีบใส่ปลายถุงยางอนามัย
    - หากปลายถุงยางไม่มีถุงสำหรับเก็บเชื้อ ให้ดึงปลายถุงยางซักครึ่งนิ้ว เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับเก็บเชื้อ
    - ม้วนถุงยางจนถึงโคนอวัยวะเพศ
    - หากสงสัยว่าถุงยางแตก ให้หยุดการมีเพศสัมพันธ์ในทันที
    - เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วให้ใช้มือบีบปลายถุงยาง แล้วถึงอวัยวะเพศออก
    - ดึงถุงยางออกจากอวัยวะเพศ ระวังอย่าให้เชื้อหก แล้วนำไปทิ้ง
    - ชำระล้างมือ ฟอกสบู่เพื่อความสะอาด

 วิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกวิธี
  • ก่อนซื้อควรแน่ใจว่าถุงยางอนามัยที่คุณจะซื้ออยู่ในสภาพที่ดี และยังไม่หมดอายุ
  • ฉีกซองอย่างระมัดระวัง ไม่ทำให้ถุงยางฉีกขาด
  • บีบรีดตรงปลายถุงก่อนจะค่อยๆ คลายม้วนขึ้นมาห่อหุ้มอวัยวะเพศที่กำลังแข็งตัว
  • หลังจากหลั่งอสุจิแล้ว ให้จับตรงขอบถุงยางไว้ แล้วค่อยดึงอวัยวะเพศออกจากถุงขณะที่ยังแข็งตัวอยู่
  • ห้าม ใช้สารหล่อลื่นชนิดที่ผสมน้ำมัน หากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้สารหล่อลื่นชนิดที่เข้ากับน้ำ (water-based lubricants) เช่น  KY Jelly เป็นต้น
  วิธีการใช้ถุงยางอนามัย
       1. ผู้ที่ใช้ต้องใส่และถอดให้ถูกวิธี โดยให้ใส่เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่เท่านั้น
       2. บีบปลายกะเปาะไล่ลมแล้วสวมลงบนอวัยวะเพศรูดลงมาจนสุด
       3. เมื่อเสร็จการร่วมเพศ ต้องรีบดึงอวัยวะเพศออกขณะยังแข็งตัวอยู่ มิฉะนั้นถุงยางอาจจะหลุดอยู่ในช่องคลอดได้
       4. ต้องดึงออกโดยมิให้น้ำอสุจิไหลออกมาอยู่บริเวณอวัยวะเพศหญิง
       5. มีถุงยางอนามัยสำรองเตรียมพร้อมไว้เสมอ
 
  สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
        1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอก
          2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้ (คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง) ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม(กรณีให้สาวใส่ให้) การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นานจนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด
          3. การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
          4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัยแม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
 
 ปัญหาที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่ถูกต้อง
       1. ใช้สารหล่อลื่นไม่ถูกต้อง ทำให้ถุงยางแตกหรือลื่นหลุด
       2. ไม่ใช้ถุงยางอนามัยใหม่แกะกล่อง
       3. ใช้ถุงยางเพียงครั้งแรกเท่านั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ต่อไปไม่ได้ใช้ถุงยาง
       4. ใช้ถุงยางอนามัยที่เสื่อมสภาพอย่างเห็นได้ชัด
       5. มึนเมาสุราหรือสารเสพติด จึงตัดสินใจถอดถุงยางทิ้งกลางคัน
       6. แกะถุงยางอนามัยออกมาเล่นก่อนมีเพศสัมพันธ์
       7. ใส่ถุงยางผิดด้านแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
       8. สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขลิบปลายอวัยวะเพศ ต้องดึงหนังหุ้มรูดให้สุดเสียก่อน

 การแตกของถุงยางอนามัย 

       แม้ได้ใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างดีก็ยังแตกได้ มีรายงานตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึง 12 เฉลี่ยก็ร้อยละ 5 แต่ถ้าร่วมเพศทางทวารหนัก จะมากกว่านี้ จากการศึกษาของอีตา steiner แกพบว่า
          -  50% จะแตกตรงส่วนปลายปิด 
          -  25% 
แตกตรงตัวถุง
          -  25%  แตกตรงปลายเปิด แต่ที่สำคัญคือ กว่าจะรู้ว่าแตก ก็เสร็จกิจไปแล้ว ถึง 2 ใน 3 ของการแตก 

  แล้วมันแตกได้ยังไง 
     1. ใช้ไม่ถูกวิธี
      2. พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ร่วมเพศอย่างเมามันรุนแรง ยาวนาน หรือมีการเสียดสีอย่างมาก หรือช่องคลอดที่แห้งยังไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ หรือช่องคลอดแห้งในสตรีวัยทอง
      3. การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม สารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ จะต้องมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากน้ำมันหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันโดยเด็ดขาด (petroleum and derivatives) รวมทั้งน้ำมันพืชด้วยนะครับ ยางกับน้ำมันไม่ถูกกันครับ จาการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่า ความแข็งแรงของถุงยางอนามัยลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อถุงยางอนามัยสัมผัสกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (เพียงแค่15นาที)
           อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ต้องสังวรไว้ก็คือความเชื่อที่เคยเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ ก็สามารถใช้ได้กับถุงยางอนามัยนั้น ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันอยู่ด้วยก็มี
       4.ใช้ขนาดของถุงยางอนามัยไม่เหมาะสม ในเมืองไทย มี 2 ขนาด คือขนาด 49 มิลลิเมตร และขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยคือ ขนาด 49 มิลลิเมตร
       5. คุณภาพของถุงยางอนามัยไม่ดี ปกติถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย เขาก็ผลิตดี ได้มาตรฐาน ISO กันทั้งนั้น มีอายุเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปี นับแต่วันที่ผลิตถ้าเก็บไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ที่คุณภาพไม่ดี ก็มักเกิดขึ้นหลังจากผลิตออกมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เก็บไว้แล้วโดนแสงอุลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์(ตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน) หรือโดนแสงนีออนนานๆ ความร้อน ความชื้น โอโซน ความเค็มของอากาศชายทะเล ล้วนเป็นเหตุให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนหมดอายุได้ทั้งสิ้น แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพวกที่ชอบพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าสตางค์ แค่เดือนเดียวก็หมดสภาพแล้ว
           แล้วที่โรงงานผลิตออกมาไม่ดี…ก็มีบ้าง แต่ก็น้อยมาก ๆ เช่น ความหนาของผิวยางไม่สม่ำเสมอ มีฟองอากาศ เป็นรอยพับย่น มีเศษวัสดุแปลกปลอม รอยตำหนิเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการแตกของถุงยางอนามัยได้เช่นกัน
  สารฆ่าเชื้ออสุจิ 

      ในสมัยปัจจุบันมีหลายบริษัทได้เพิ่มสารฆ่าตัวอสุจิเคลือบถุงไว้ด้วย ด้วยหวังว่าถ้าเกิดเผื่อถุงยางแตก หรือรั่วก็ยังพอมียาตัวนี้ช่วยฆ่าเชื้ออสุจิด้วย แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สารที่ใช้มีหลายประเภท แต่ที่นิยมกันมากเป็นสารประเภท surfactant หรือ surfactant active เป็นสารเคมีในกลุ่ม detergent สารเคมีประเภทนี้ฆ่าตัวอสุจิโดยการจู่โจมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของตัวอสุจิชำรุด เกิดการรั่วไหลของส่วนประกอบภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย ตัวที่นิยมใช้กันมากที่สุด(หรือเกือบทั้งหมด) ได้แก่ สาร nonoxynol-9 มีชื่อทางเคมีว่า nonylphenoxyl-polyethoxye-thanol (ต่อมาก็มีการพัฒนามาใช้ nonoxynol-11้ ) ต่อมาพบว่าสารนี้สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคได้ รวมทั้งเชื้อเอดส์ด้วย ได้มีการทดลองในหลอดทดลอง โดยเอาเชื้อเอดส์ และเซลล์ที่ติดเชื้อเอดส์มาผสมกับตัวยาnonoxynol-9 ผลปรากฏว่า เชื้อตายหมดภายในไม่กี่วินาที
  ถุงยางอนามัยสำหรับชายรักชาย
      ในชายรักชาย  พบมีการใช้ถุงยางอนามัยน้อยเพียงไม่ถึง 50% เท่านั้น   และควรใช้ถุงยางอนามัยชนิดหนาพิเศษ  เนื่องจากในชายรักชายนั้น  เมือมีการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก  ฝ่ายชายที่เป็นฝ่ายรับที่บริเวณช่องทวารหนักจะไม่มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติเหมือนผู้หญิงแท้  เมื่อสอดใส่อวัยวะเพศชายที่แข็งตัวเข้าไปหาใช้ถุงยางอนามัยแบบปกติ  โอกาสจะเกิดการฉีกขาดจะมีสูง
        ดังนั้นควรเลือกซื้อถุงยางอนามัยชนิด " หนาพิเศษ " ซึ่งจะพิมพ์ฉลากระบุไว้ข้างกล่องของถุงยางอนามัย  จะช่วยลดอัตราการฉีกขาดเวลามีเพศสัมพันธ์ของชายรักชายได้  และถึงแม้ถุงยางอนามัยจะได้รับการออกแบบให้แข็งแรงทนทานแล้ว  ทว่า... ถ้าทำรุนแรงหรือโลดโผนเกินไป ถุงยางอนามัยก็อาจจะถึงกับแตกได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น "เบาๆ ไว้..." จะช่วยลดการแตกของถุงยางอนามัยได้
       อีกทั้งในชายรักชายเมื่อจะมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก  ควรใช้สารหล่อลื่นที่ละลายได้ในน้ำ เช่น KY Jelly ฯลฯ ทาถุงยางอนามัยเพื่อช่วยการหล่อลื่นอีกทางหนึ่ง  แต่งดเว้นการนำน้ำมัน เช่น โลชั่นทาผิว (มีส่วนผสมของน้ำมันปนอยู่) น้ำมันพืช น้ำมันทาผิว น้ำมันแร่ (เช่น ปิโตรเลียมเจล) ลิปสติก ลิปมัน (ที่ใช้ทากันปากแตก) ฯลฯ ไปทาถุงยางอนามัย  เพราะจะทำให้เกิดการละลายของยาง  ถุงยางจะบางลง และมีโอกาสแตกได้ง่ายขึ้น

ถุงยางอนามัย


ถุงยางอนามัย ( 
Condom )
 
        จากการที่ผู้ป่วยโรคเอดส์ร้อยละ 84 ได้รับเชื้อเอดส์มาจากการมีเพศสัมพันธ์ มาตรการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอดส์ จึงเน้นที่การรณรงค์ให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่เหมาะสม รักเดียว-ใจเดียว มีคู่เพศสัมพันธ์เพียงคนเดียว แต่ก็ยังคงมีการแพร่ระบาดทางเพศสัมพันธ์ในระดับสูง มาตรการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยจึงเป็นมาตรการสำคัญที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทางเพศสัมพันธ์จากการเฝ้าระวันพฤติกรรม เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ทางเพศสัมพันธ์ใน กลุ่มประชากรที่มีอายุ 15 - 29 ปี พบว่าอัตราการใช้ ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสน้อยกว่าร้อยละ 30 ทั้งนี้เพราะประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมีเจตคติต่อถุงยางอนามัยในเชิงลบ เช่น คิดว่าถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่มั่นใจในคุณภาพของถุงยางอนามัยกลัวคู่นอนคิดว่าตัวเองติดเชื้อและไม่แน่ใจว่าถุงยางอนามัยจะป้อง กันโรคได้
              แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะมีความรู้เรื่องโรคเอดส์ และวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอดส์เป็นอย่างดี แต่ก็ยังไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความตระหนักถึงประโยชน์ของถุงยางอนามัย เพื่อให้ยอมรับการใช้ถุงยางอนามัยมากยิ่งขึ้น และเพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอดส์ให้น้อยลง โดยการเน้นความน่าเชื่อถือในคุณภาพและแสดงถึงความรอบคอบ และปรับเปลี่ยนค่านิยมที่ตีตราว่าถุงยางอนามัยเป็นสัญญลักษณ์ของความสำส่อนทางเพศ ให้สื่อแสดงว่าถุงยางเป็น เครื่องใช้ที่บ่งบอกถึงความรอบคอบระมัดระวังรวมทั้งต้องส่งเสริมสนับสนุนและควบคุมตรวจสอบการผลิตถุงยางอนามัยให้มีมาตรฐานคุณภาพดีสร้างความมั่นใจต่อประชาชนผู้บริโภคว่ามีความปลอดภัยในการป้องกันการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์และเชื้อเอดส์ได้ถุงยางอนามัยหรือ Condom เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ใช้สวมอวัยวะเพศชายในขณะร่วมเพศ เพื่อป้องกันการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์ การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น ถุง ปลอก เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย สุลต่าน ในภาษาอังกฤษเรียกว่าcondom,skin,sheath,prophylactics เป็นต้น

ชนิดของถุงยางอนามัยจำแนกตามวัสดุ
 
       ถุงยางอนามัยสมัยใหม่ส่วนมากผลิตจากยางพารา แต่ก็มีบ้างที่ผลิตจากวัสดุอื่น เช่น โพลียูรีเทน หรือลำไส้ของลูกแกะ ถุงยางอนมัยที่มีการผลิตจำหน่ายในโลกนี้มี ชนิดตามวัสดุที่ใช้

   1. ชนิดที่ทำจากลำไส้สัตว์ (Skin condom) 

             วัสดุที่ใช้ผลิตเป็นส่วนของลำไส้ส่วนล่างของแกะ ที่เรียก caecum มีใช้ในอเมริกา ราวร้อยละ ใช้แล้วรู้สึกสบายยามสวมใส่ ไม่รัดรูป ให้ความรู้สึกสัมผัสที่ดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เชื่อว่าวัสดุจากลำไส้สัตว์สามารถสื่อผ่านความอบอุ่นของร่างกายสู่กันได้ และความชุ่มชื่นจากสารคัดหลั่งสามารถซึมผ่านเนื้อเยื่อได้ แต่เนื่องจากผิวของวัสดุมีรูพรุนเล็กๆที่ขวางได้เฉพาะตัวอสุจิเท่านั้น จึงไม่สามารถป้องกันเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ skin condom มีความหนา 0.15 มิลลิเมตร และไม่สามารถยืดตัวได้ (แต่มีความอ่อนนุ่ม) จึงสวมใส่แบบหลวมๆ ไม่รัดแนบแน่นแบบที่ทำจากยางธรรมชาติ ขนาดความกว้างเมื่อวางแบนราบ มีตั้งแต่ 62 มิลลิเมตร ถุง 80 มิลลิเมตรถุงยางชนิดนี้ไม่มีการผลิตจำหน่ายในเมืองไทย

     2. ชนิดที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ (rubber condom or latex condom) 

           จากวัสดุที่ทำนี่เองจึงเป็นที่มาของคำว่า "ถุงยางอนามัย"  ถุงยางที่ถูกสุขอนามัย สะอาด ตรงและเหมาะสมจริงๆ แต่คนไทยไม่ชอบยาวๆ กลับเรียกไปต่างๆนานา ปลอก นวม เสื้อ เสื้อฝน เสื้อเกราะ มีชัย ฯลฯ ฝรั่งก็มีชื่อเรียก นอกจาก Condom แล้ว ก็เรียก sheath, prophylactic, French letter, English cape เป็นต้น ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาตินี้มีราคาถูกกว่า บางกว่า ยืดหยุ่นได้ดีกว่าแบบทำจากลำไส้สัตว์ จึงมีขนาดความกว้างน้อยกว่า การสวมใส่ก็กระชับรัดแนบเนื้อ สามารถใช้ได้ทั้งเพื่อการคุมกำเนิดและป้องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย 


 
     3. ชนิดที่ทำจากPolyurethane (ถุงยางพลาสติก) 

             ปัจจุบันได้มีการนำวัสดุอื่นมาผลิตเป็นถุงยางอนามัยด้วย เช่น สาร Polyurethane เพราะถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติก็มีข้อด้อย เช่นแพ้ รั่วได้ ใช้สารหล่อลื่นบางชนิดไม่ได้ กลิ่นไม่ค่อยชวนดมเรียกถุงยางอนามัยชนิดนี้ว่า ถุงยางพลาสติก (plastic condom) ถุงยางชนิดนี้ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าแบบที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ คงทนกว่าแบบยางธรรมชาติ สามารถใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีได้

แบบของถุงยางอนามัย
 
ถุงยางอนามัยแบ่งชนิดตามลักษณะผิว เป็น ชนิด คือ ชนิดผิวเรียบ และชนิดผิวไม่เรียบ ถุงยางอนามัยที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติชนิดเข้มข้นมีรูปแบบที่เกี่ยวกับลักษณะสำคัญ 6 เรื่องคือ

1. สารหล่อลื่น มีทั้งแบบแห้งคือไม่มีสารหล่อลื่น และแบบที่มีสารหล่อลื่น แบบที่มีสารหล่อลื่นก็ยังแบ่งเป็นแบบสารหล่อลื่นธรรมดา และแบบที่มีตัวยาฆ่าเชื้อ เช่น nonnoxynol-9 หรือ N-9 เป็นต้น
2. ลักษณะของก้นถุง แบ่งเป็นแบบก้นถุงมนแบบถุงกาแฟ (plain) และแบบถุงมีกระเปาะ หรือติ่ง (reservoir-ended or teat) เพื่อเป็นที่เก็บน้ำอสุจิ ซึ่งแบบนี้จะเป็นที่นิยมมากกว่า และวิธีการสวมใส่ก็แตกต่างกัน
3. รูปทรงของถุง แบ่งเป็นแบบทรงกระบอกตรงๆ (straight) และแบบลูกคลื่น (rippled)
4. ลักษณะผิว แบ่งเป็นแบบผิวเรียบ (smooth) 
และแบบผิวไม่เรียบ (textured)
5. สี อันนี้คงรู้จักกันดี มีทั้งแบบสีธรรมชาติของยาง หรือ เจ็ดสีมีชัย ประกายรุ้ง
6. กลิ่นและรส มีให้เลือกทั้งกลิ่นรสมินต์ กลิ่นสตรอเบอรี่ กลิ่นมะนาว บางยี่ห้อมีกลิ่นทุเรียนด้วย การเติมกลิ่นและรสนี้เพื่อคนที่ใช้การร่วมเพศทางปาก (oral sex)
ขนาดของถุงยางอนามัย
          การเลือกซื้อควรสังเกตดู ว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการของตนเองหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้ซื้อควรสังเกตข้อความอื่น ๆ ว่าครบถ้วน และตรงกับความต้องการหรือไม่ เช่น ชื่อผู้ผลิต หรือผู้นำเข้า รุ่นที่ผลิต เดือนปีที่ผลิต มีสารหล่อลื่น หรือสารฆ่าเชื้ออสุจิ มีสารแต่งกลิ่นหรือไม่ ฯลฯ

ประเภทของถุงยางอนามัย
 
          ถุงยางอนามัยแบ่งประเภทตามขนาดความกว้าง ( ครึ่งหนึ่งของเส้นรอบวงของถุงยางนามัย ) เป็น 13 ขนาด คือ 44 , 45 , 46 , 47 , 48 , 49 ,50 , 51 ,52 , 53 , 54 , 55 และ56 มิลลิเมตร (มม.) ขนาดที่มีจำหน่ายในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 49 มม. มม. และ52 มม.
           จากการสำรวจพบว่าปกติชายไทยจะใช้ถุงยางอนามัยขนาด 49 มม. หากเป็นชายไทยรุ่นใหม่ ขนาด 52 มม. จะเหมาะสมกว่า การเลือกซื้อคงจะต้องซื้อในขนาดที่เคยใช้สวมใส่มาแล้ว หากมีขนาดใหญ่เกินไปจะหลวมและหลุดง่าย หากเล็กไปจะฉีกขาดได้ง่าย ซึ่งจะก่อให้เกิดความรู้สึกไม่อยากใช้และมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัยชาย
 
     ถุงยางอนามัยมีชื่อเรียกได้หลายชื่อ บางคนอาจจะเรียก ถุง ปลอก เสื้อเกราะ เสื้อกันฝน ฯลฯ ก็เป็นอันเข้าใจกันว่าหมายถึงถุงยางอนามัยชายนั่นเอง ถุงยางอนามัยโดยทั่วไปทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น อาจมีผนังขนาน มีหลายสีให้เลือก และมีหลายแบบ ทั้งแบบปลายเรียบมน ปลายเป็นกระเปาะ หรือเป็นติ่งยื่นออกมา แบบชโลมด้วยสารหล่อลื่น และแบบที่เคลือบน้ำยาฆ่าตัวอสุจิ ถ้าแบ่งตามลักษณะผิวจะมีทั้งแบบผิวเรียบและผิวไม่เรียบ ถ้าแบ่งตามขนาดความกว้างก็จะมีด้วยกันถึง 13ขนาด ตั้งแต่ขนาด 44 จนถึง 56 มิลลิเมตร ในประเทศไทยขณะนี้จำหน่ายขนาด 49 และ 52 มิลลิเมตร
            เพื่อความมั่นใจมากขึ้นสำหรับการคุมกำเนิดและป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงได้มีการนำสารที่เรียกว่า"โนน็อกซินอล"(nonoxynol) ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้ออสุจิเคลือบลงบนถุงยางอนามัย เพื่อความปลอดภัย ขั้นตอน ถุงยางอนามัยเคลือบสารโนน็อกซินอล 11 (Condom with Nonoxynol-11) หรือ โนน็อกซินอล-11 สปอร์มิไซด์ หรือเรียกย่อ ๆว่า เอ็น -11 (N-11) คือสารฆ่าตัวอสุจิที่ใช้กันอย่างแพร่หลายสำหรับการคุมกำเนิดเมื่อนำ สารนี้มาเคลือบบนถุงยางจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดียิ่งขึ้น โดยหยุดยั้งไม่ให้เชื้ออสุจิเข้าไปผสมกับไข่ได้

ข้อดีของถุงยางอนามัย
  • นอกจากใช้ในการคุมกำเนิดแล้วยังใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ กามโรค
  • ใช้ได้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงเห็นผลง่ายและป้องกันได้ทันที
  • พกสะดวก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย
  • ช่วยยืดระยะเวลาการหลั่งน้ำอสุจิของฝ่ายชายได้ และไม่มีผลเสียต่อการเจริญพันธุ์เมื่อเลิกใช้
ข้อเสีย
  • ต้องใส่ก่อนร่วมเพศจึงเกิดการขัดจังหวะในการร่วมเพศเพราะต้องสวมถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ใส่ให้จะช่วยให้เกิดความรู้สึกดีขึ้น
  • ความรู้สึกในการสัมผัสการร่วมเพศตามธรรมชาติอาจลดลงบ้าง แม้ว่าถุงยางจะบางมาก อีกฝ่ายอาจจะไม่ได้รับรู้ว่ามีการหลั่งน้ำอสุจิเข้าแล้ว
  • อาจมีโอกาสติดเชื้อได้ หากถุงยางอนามัยแตก
   

ถุงยางอนามัยหญิง
 
             ถุงยางอนามัยสำหรับหญิง มีลักษณะเป็นถุงโปร่งแสง ทรงกระบอก ปลายมนทำด้วย โพลียูรีเธน ปลายเปิดของถุงยางมีขอบลักษณะคล้ายห่วงติดอยู่เรียกว่า ขอบนอก มีเส้นผ่าศูนย์กลาง เซนติเมตร ภายในก้นถุงซึ่งเป็นปลายตันจะมีห่วงอีกอันหนึ่งวางอยู่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 เซนติเมตร เรียกว่า ขอบใน ซึ่งสามารถถอดออกได้ ขอบในจะใช้สอดถุงยางเข้าไปในช่องคลอด โดยบีบขอบในแล้วสอดเข้าไปจนสุดซึ่งจะเข้าไปครอบบนปากมดลูก และห่วงนี้จะยึดถุงยางไว้ไม่ให้หลุดออกมาในขณะที่ห่วงนอกที่เป็นขอบถุงยางจะช่วยให้ถุงยางแผ่ติดตรงบริเวณปากช่องคลอด สารโพลียูรีเธนมีความเหนียวทนทานมีความนุ่มนวลและบางกว่าชนิดที่ทำด้วยยางลาเท็กซ์จึงทำให้แนบกับผิวช่องคลอดได้ดีกว่าถุงยางอนามัยสตรี จะไม่มีน้ำยาหล่อลื่นชโลมมาด้วย จะใช้แยกต่างหากซึ่งทำให้ใช้ได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร ผู้ใช้จะต้องจัดหาสารหล่อลื่นเอง ควรใช้ชนิดที่ละลายน้ำเช่น เค-วาย เจลลี่ หรืออาจเป็นชนิดที่เคลือบด้วยน้ำยาฆ่าอสุจิ การสอดใส่ถุงยางอนามัยสตรีทำได้หลายวิธีโดยให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่เองหรือให้ฝ่ายชายเป็นผู้ใส่ให้โดยบีบห่วงที่ปลายถุงและสอดเข้าไปในช่องคลอด ถอดใส่ห่วงนอกแล้วสวมเข้ากับอวัยวะเพศชาย คล้ายถุงยางอนามัยชาย

ข้อดี
    ผู้หญิงสามารถป้องกันตนเองได้ สามารถสอดใส่ไว้ก่อนร่วมเพศได้ ขนาดของถุงมีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างพอไม่ทำให้ฝ่ายชายอึดอัด มีความเหนียวและทนทานดี หลังการร่วมเพศแล้วฝ่ายชายไม่จำเป็นต้องรีบถอนอวัยวะเพศออกเพื่อถอดถุงยางอนามัยทันที ยังคงสามารถสัมผัสใกล้ชิดกันได้นาน ๆ
ข้อเสีย
    
การสอดใส่ถุงยางเข้าไปในช่องคลอดหญิงอายุน้อยบางคนยังรับไม่ได้ หรือมีห่วงอยู่ที่ขอบถุงยางซึ่งโผล่อกมานอกปากช่องคลอด ทำให้คู่นอนเสียความรู้สึกทางเพศ มีรูปร่างเทอะทะไม่น่าใช้ ผู้ใช้บางรายอาจมีอาการเจ็บขณะร่วมเพศ นอกจากนี้แล้วราคายังแพงกว่าถุงยางอนามัยชาย ถุงยางอนามัยชายจึงได้รับความนิยมมากกว่า
การสวมใส่และถอดมีขั้นตอนดังนี้
 

 
1. ล้างมือให้สะอาด
 2. จัดท่าให้เมาะสมกับการใส่ ปกติจะใช้ท่านอนหงายชันเข่า หรือท่านั่งยอง
 3. เมื่อแกะออกจากซอง ให้ตรวจดูว่าวงแหวนภายในอยู่ที่ก้นถุง
 4. ใช้มือข้างที่ถนัด จับวงแหวนภายในจากภายนอกของถุงยาง ซึ่งอยู่บริเวณก้นถุงด้วยนิ้วหัวแม่ถือกับนิ้วกลางบีบเข้าหากันเป็นวงรี ขณะเดียวกันให้วางนิ้วชี้ทาบไปบนวงแหวน ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วกลางเพื่อช่วยในการสอดใส่เข้าช่องคลอด โดยปล่อยปลายเปิดซึ่งติดกับวงแหวนภายนอกให้ห้อยลง
 5. ใช้นิ้วมืออีกข้างแยกปากช่องคลอดให้เปิดออก จากนั้นสอดวงแหวนภายในที่อยู่ในก้นถุงเข้าสู่ช่องคลอด
 6. ใช้นิ้วชี้ของมือข้างที่ถนัด สอดผ่านปลายเปิดเข้าไปดันวงแหวนภายในจากภายในถุงโดยตรงให้เข้าไปในช่องคลอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้
 7. เมื่อสอดใส่วงแหวนภายนอกจะอยู่ภายนอกช่องคลอดและอาจอยู่ห่างช่องคลอด ประมาณ นิ้ว เมื่อมีการร่วมเพศ ช่องคลอดจะยืดขยายตัวทำให้ส่วนของถุงที่ยื่นออกมาหดสั้นลง จนวงแหวนภายนอกชิดกับปากช่องคลอดได้
 8. ขณะสอดอวัยวะเพศชายเข้าช่องคลอด หญิงอาจช่วย โดยใช้มือจับวงแหวนภายนอกให้ชิดกับปากช่องคลอด เพื่อป้องการสอดเข้าด้านข้างของถุงยาง
 9. หลังการร่วมเพศ ให้เอาถุงยางอนามัยสตรีออกจากช่องคลอดก่อนลุกนั่งหรือยืน โดยหมุนวงแหวนภายนอกเพื่อไม่ให้น้ำอสุจิไหลออกจากปลายเปิด จากนั้นจึงค่อยดึงออกจากช่องคลอดอย่างนุ่มนวล ตรวจดูสภาพว่าไม่ชำรุด จากนั้นก็ห่อกระดาษแล้วนำไปทิ้งถังขยะให้มิดชิด ห้ามนำไปซักล้างแล้วใช้ใหม่
 10. ถ้าจะร่วมอีกรอบ ก็ต้องใช้อันใหม่

ขบวนการผลิตถุงยางอนามัยประกอบด้วย 6 ขั้นตอนคือ

 

  1. การผสม
  2. การขึ้นรูปถุงยางอนามัย
  3. การอบแห้งและทำให้ยางคงรูป
  4. การตรวจสอบหารอยรั่วด้วย ไฟฟ้า
  5. การเติมสารหล่อลื่นและการบรรจุถุงยางอนามัย
  6. การควบคุมคุณภาพถุงยางอนามัย
         ซึ่งผู้ผลิตจะทำการควบคุมคุณภาพ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ การควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต และการตรวจสอบคุณภาพผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปตามมาตรฐานที่กำหนด นอกจากนี้ภาครัฐยังได้ส่งเสริมมาตรการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2535 โดยการริเริ่มโครงการตรวจสอบคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนออกจำหน่าย โดยกำหนดให้ถุงยางอนามัยทุกรุ่นการผลิต หรือนำเข้าจะต้องส่งตัวอย่างให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ตรวจวิเคราะห์คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนดหากพบว่าได้มาตรฐานจึงจะอนุญาตให้จำหน่ายได้ในกรณีที่คุณภาพไม่เข้ามาตรฐานจะต้องทำลายหรือส่งกลับประเทศผู้ผลิตทันทีมาตรการดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการกลั่นกรองคุณภาพถุงยางอนามัยก่อนถึงมือผู้บริโภคตลอดจนเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมในการที่จะผลิตหรือนำเข้าเฉพาะถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพเป็นที่น่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้
        อย่างไรก็ตามแม้ว่าถุงยางอนามัยที่วางจำหน่ายในท้องตลาดจะผ่านขั้นตอนการผลิต และการควบคุมคุณภาพเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของผู้ผลิตและภาครัฐแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถเป็นหลักประกันได้ว่าถุงยางอนามัยทุกชิ้นที่วางจำหน่ายในท้องตลาดมีคุณภาพและประสิทธิภาพที่ดีเนื่องจากถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะเสื่อมสลายได้ตามระยะเวลา และสภาพการเก็บรักษา อาจมีส่วนทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนเวลาอันควรหรือก่อนวันสิ้นอายุที่ระบุไว้บนฉลากเมื่อนำถุงยางอนามัยไปใช้งานจะสามารถใช้คุมกำเนิดหรือป้องกันโรคได้แน่นอนหรือไม่ มิได้ขึ้นกับคุณภาพของถุงยางอนามัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ว่าใช้ถูกต้องหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง หรืออาจแตกขณะใช้ สาเหตุเนื่องจากบางครั้งผู้ใช้อาจละเลย หรือมิได้คำนึงถึงเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งได้แก่ การเลือกซื้อ การเก็บรักษาและวิธีการใช้หากผู้ใช้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวและมีการปฏิบัติอย่างถูกต้องจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการใช้ถุงยางอนามัยสำหรับคุมกำเนิดและป้องกันโรค ตลอดจนสามารถทำให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจ และมีทัศนคติที่ดีต่อถุงยางอนามัย

ข้อดีของถุงยางอนามัย
  • นอกจากใช้ในการคุมกำเนิดแล้วยังใช้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคเอดส์ กามโรค
  • ใช้ได้โดยไม่ต้องปรึกษาแพทย์ ปลอดภัย ไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออาการข้างเคียงเห็นผลง่ายและป้องกันได้ทันที
  • พกสะดวก น้ำหนักเบา หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ใช้เสร็จแล้วทิ้งได้เลย
  • ช่วยยืดระยะเวลาการหลั่งน้ำอสุจิของฝ่ายชายได้ และไม่มีผลเสียต่อการเจริญพันธุ์เมื่อเลิกใช้
ข้อเสีย
  • ต้องใส่ก่อนร่วมเพศจึงเกิดการขัดจังหวะในการร่วมเพศเพราะต้องสวมถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่ถ้าฝ่ายหญิงเป็นผู้ใส่ให้จะช่วยให้เกิดความรู้สึกดีขึ้น
  • ความรู้สึกในการสัมผัสการร่วมเพศตามธรรมชาติอาจลดลงบ้าง แม้ว่าถุงยางจะบางมาก ฝ่ายหญิงอาจจะไม่ได้รับรู้ว่ามีการหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอด
  • อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ หากถุงยางอนามัยแตก
         ต้องมีแหล่งบริการถุงยางให้เพียงพอ มีการจัดเก็บที่เหมาะสม ไม่อยู่ในที่ร้อนจัดหรือมีแสงแดดส่องถึง และเมื่อใช้เสร็จแล้วเป็นภาระในการทิ้งถุงยางที่เหมาะสม คุณผู้ชายบางคนไม่ค่อยที่จะชอบใส่ถุงยางอนามัย อาจจะมีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติ หรืออาจจะมีความเชื่อและเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง บางคนคิดว่าถ้าใส่ถุงยางอนามัยฝ่ายหญิงจะคิดว่าตัวเองสกปรก หรือใช้สำหรับหญิงบริการเท่านั้น หรือไม่ใส่เพราะยังไม่ต้องการคุมกำเนิด และไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายติดเชื้อเอดส์ ไม่กล้าซื้อถุงยางอนามัยเพราะสังคมไทยยังไม่ยอมรับ ซึ่งความจริงแล้วถุงยางอนามัยให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติเพราะผลิตให้บางลงกว่าเดิมถึง 0.03 มิลลิเมตร นอกจากนี้แล้วการเลือกสีของถุงยางอนามัยให้ถูกต้องตามรสนิยมอาจช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ ถุงยางนั้นสามารถหาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป วางอยู่ในที่ที่หยิบง่าย สามารถเลือกแบบและยี่ห้อได้ ให้นึกว่าถุงยางอนามัยคือของใช้ในชีวิตประจำวันชนิดหนึ่ง จะทำให้เลือกซื้อได้อย่างไม่เคอะเขิน 
        ถุงยางอนามัยเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และมีการรณรงค์ให้ใช้กันอย่างกว้างขวาง ถุงยางอนามัยจึงได้มีการพัฒนาและผลิตแบบต่าง ๆ เพื่อสนองรสนิยมและความต้องการที่หลากหลาย เช่น ทำให้บางลงและเหนียวขึ้น เพิ่มสีสันให้สวยงามน่าใช้ ทำเป็นสีเรืองแสงให้สว่างเรืองในที่มืดบางชนิดแทนที่จะเป็นถุงเรียบ ๆ ก็จะทำเป็นส่วนโค้ง ส่วนเว้า เป็นลอนหรือปุ่มเล็ก ๆ และยังผลิตถุงยางชนิดมีกลิ่นและรสต่าง ๆ เช่นกลิ่นผลไม้ กล้วยหอม สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ทุเรียน ช็อกโกแลต และรสมินท์ เป็นต้น