วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

การเลือกถุงยางอนามัย

ถุงยางอนามัย
การเลือกซื้อถุงยางอนามัย

 ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ 
         ถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ เมื่อถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ก็ต้องมีกฎหมายรับรอง ต้องมีประกาศมาตรฐาน ควบคุมการผลิต กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศเป็นกฎกระทรวงฉบับที่ 11 พ.ศ. 2535 ว่าให้ถุงยางอนามัยเป็นเครื่องมือแพทย์ เป็นอุปกรณ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ น้ำยางสังเคราะห์หรือวัตถุอื่น ใช้สวมอวัยวะเพศชายเพื่อการคุมกำเนิด หรือใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  การเลือกซื้อถุงยางอนามัยมีประเด็นที่ต้องคำนึงถึง ดังนี้
       
อ่านฉลากก่อนซื้อ จะทำให้ทราบว่า ถุงยางอนามัยดังกล่าว ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือไม่ หมดอายุการใช้งานหรือยัง มีความเหมาะสม ตรงกับความต้องการหรือไม่ ข้อความสำคัญที่ควรพิจารณาจากฉลากได้แก่

  เครื่องหมาย อย. 
      
 เป็นการแสดงว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วหรือยัง โดยสังเกตข้อความที่แสดง ตามตัวอย่างด้านล่าง ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ที่ อย. ผ. ../ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการผลิตในประเทศ หรือ อย. น…/ปี พ.ศ. ในกรณีที่เป็นการนำเข้า ฯ
  วันหมดอายุ การกำหนดวันหมดอายุของถุงยางอนามัย ผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนดเองตามความเหมาะสมผู้ซื้อสามารถสังเกตว่าถุงยางอนามัยหมดอายุหรือไม่ โดยการสังเกตคำว่า  "หมดอายุ" หรือ "ต้องใช้ก่อน" ซึ่งจะแสดง เดือน และ ปี ที่หมดอายุไว้ทั้งบนฟอยล์บรรจุหนึ่งชิ้นและบนซองหรือกล่องย่อย ดังตัวอย่างข้อความที่มีการแสดง
  • ต้องใช้ก่อน 6/2542" เป็นการแสดงวันหมดอายุโดยใช้คำที่เข้าใจง่าย และตรงไปตรงมา ซึ่งหมายความว่าถุงยางอนามัยดังกล่าวจะหมดอายุ หรือไม่ควรใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 เดือนมิถุนายน 2542 เป็นต้นไป
  • หมดอายุ 6/2542" การแสดงข้อความโดยใช้คำว่าหมดอายุ เมื่ออ่านผ่าน ๆ แล้ว อาจไม่มีข้อสงสัยอะไร แต่จะพบว่ามีความเข้าใจเป็น 2 กลุ่ม 
     
    • กลุ่มแรก มีความเข้าใจว่าเดือนมิถุนายน 2542 ถุงยางอนามัยยังสามารถใช้ได้ และจะหมดอายุตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542
    • กลุ่มที่ 2 เข้าใจว่าถุงยางอนามัยดังกล่าว หมดอายุตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2542จากคำนิยามคำว่า "วันหมดอายุ" หมายความถึง วันกำหนดที่แจ้งบนฉลากสำหรับการผลิตแต่ละครั้ง ซึ่งแสดงว่าในช่วงระยะเวลาก่อนวันนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังคงมีคุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนด วันเวลาดังกล่าว ได้จากการรวมอายุของผลิตภัณฑ์ต่อจากวันที่ผลิตแต่ละครั้ง วันสิ้นอายุแจ้งเป็น เดือน ปี ท่านั้น หมายความว่า ลิตภัณฑ์ยังคงมีคุณภาพตามข้อกำหนดจนถึงวันสุดท้าย ของเดือนนั้นดังนั้นในกรณีที่มีการแสดงข้อความว่า "หมดอายุ 6/2542" ความหมายที่ถูกต้อง คือ ถุงยางอนามัยดังกล่าวมีอายุการใช้งานจนวันที่ 30 เดือนมิถุนายน 542 หรือไม่ควรใช้ถุงยางอนามัยดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นไป
  การเก็บรักษา       
         ถุงยางอนามัยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะเสื่อมสภาพได้ด้วยตัวของมันเอง เมื่อระยะเวลาผ่านไป แต่จะเสื่อมสภาพได้มากขึ้นหากมีการเก็บรักษาอย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนด จึงควรมีวิธีการเก็บรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้
  • ไม่ควรเก็บรักษาในที่มีความชื้นสูง ในที่ร้อนหรือสัมผัสโดยตรงกับแสงแดดหรือแสงฟลูออเรสเซนต์
  • ไม่ควรเก็บถุงยางอนามัยไว้ในช่องเก็บของในรถยนต์เนื่องจากมีโอกาสได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน
  • ไม่ควรเก็บในลักษณะที่ไม่เหมาะสม เช่น ในกระเป๋าสตางค์ หรือกระเป๋ากางเกงด้านหลัง เพราะจะมีการกดทับ ทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ง่าย
ข้อควรระวัง
  ระยะเวลา การใช้ถุงยางอนามัยต้องใช้เพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งห้ามนำกลับมาใช้ใหม่และการใช้แต่ละชิ้นไม่ควรนานเกิน 30 นาทีเพราะหากใช้เป็นระยะเวลานานความแข็งแรงและความทนทานของถุงยางอนามัยอาจลดลงและทำให้ถุงยางอนามัยรั่วได้
  การใช้ร่วมกับสารหล่อลื่น การผลิตถุงยางอนามัยโดยปกติแล้วจะมีการเติมสารหล่อลื่นด้วย สารหล่อลื่นที่ใช้เป็นชนิดที่มีน้ำหรือซิลิโคนเป็นตัวละลาย เช่น กลีเซอรีน เค-วาย เจลลี่ ในกรณีที่ผู้ใช้พึงพอใจให้มีการหล่อลื่นเพิ่มขึ้นโดยใช้สารหล่อลื่นมาทาถุงยางอนามัยเพิ่มนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารหล่อลื่นประเภท น้ำมันพืช น้ำมันแร่ เช่น ปิโตรเลี่ยมเจลลี่ น้ำมันทาผิว น้ำมันปรุงอาหาร ฯลฯ เนื่องจากน้ำมันจะไปทำปฏิกริยากับยาง และสามารถทำให้ถุงยางอนามัยเสื่อมสภาพและมีรูรั่วได้
  การใช้ถุงยางอนามัยชนิดพิเศษ ปัจจุบันพบว่ามีการจำหน่ายถุงยางอนามัยชนิดพิเศษเช่น มีการฝังมุก มีขนม้าแซม มีฟองน้ำ หรือมีขอบตาแพะ ถุงยางอนามัยเหล่านี้เป็นการลักลอบผลิตหรือนำเข้า โดยมิได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ถุงยางอนามัยเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติในการคุมกำเนิดหรือป้องกันโรคแต่อย่างใด ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะมุ่งหวังเพียงเพื่อสร้างความสุขและความพอใจให้แก่คู่นอนเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้หญิงจะได้รับความเจ็บปวดระคายเคืองมากกว่า และอาจก่อให้เกิดโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มขึ้น  จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ถุงยางอนามัยประเภทนี้
             ผู้ชายบางท่านมีเทคนิคพิเศษในการใช้ถุงยางอนามัย เช่น การใส่หลาย ๆ ชั้นเพื่อป้องกันโรคหรือเพิ่มขนาด ซึ่งจะไม่มีผลเสียใด ๆ และสามารถลดความเสี่ยงจากการแตกของถุงยางอนามัยได้ แต่สำหรับวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขนาดนั้น จะไม่สามารถเพิ่มได้มากเท่าใดนัก เพราะถุงยางอนามัยแต่ละชิ้นบางมาก ๆ แต่จะทำให้เกิดความสิ้นเปลือง และความรู้สึกที่ได้รับลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการนำถุงยางอนามัยมาใส่หลาย ๆ ชั้นโดยซ้อนกันแบบให้มีลอนเป็นระยะ ๆการใช้ในลักษณะดังกล่าว เป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสมเช่นกันเนื่องจากจะทำให้เกิดลักษณะพื้นผิวที่ไม่เรียบ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บปวดแก่เพศหญิงได้
         แม้ว่าถุงยางอนามัยจะเป็นผลิตภัณฑ์เพียงชนิดเดียวในปัจจุบันที่สามารถใช้ในการป้องกันการติดต่อของโรคเอดส์จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพอย่างถูกต้องเหมาะสมก็มิใช่เป็นวิธีการป้องกันโรคเอดส์ได้ร้อยเปอร์เซนต์ การละเว้นจากการสำส่อนทางเพศจะเป็นความปลอดภัยและสามารถป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
ตู้หยอดเหรียญ
       ในปัจจุบันปัญหาโรคเอดส์  ยังส่งผลให้ตระหนักถึงการรณรงค์แก้ไขปัญหาเอดส์อย่างต่อเนื่อง  โครงการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย 100%  ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยของหน่วยงานทั้งภาครัฐและองค์กรหลายๆแห่งร่วมกันรณรงค์ป้องกันและมิติใหม่ในการรณรงค์ด้วยการติดตั้งตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยบริการตามสถานที่ต่างๆ  นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดหาถุงยางอนามัยโดยไม่จำกัดเวลา สถานที่ และลดความเขินอาย จากการเผชิญหน้ากับผู้ขายหรือการไปขอรับฟรีจากสถานบริการสาธารณสุข
 ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ
ซึ่งจะมีบริการติดตั้งตามสถานที่ต่างๆนั้นจะปรากฎข้อความ“มีรักอย่างมั่นใจถุงยางอนามัยช่วยให้ท่านปลอดภัยจากการตั้งครรภ์,  โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, เอดส์” บนตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอันเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย  100% ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
คุณสมบัติของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยอัตโนมัติ

        ตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยเป็นเครื่องหยอดเหรียญและจำหน่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ  โดยใช้เหรียญ(10,5 บาท)หยอดแลกซื้อถุงยางอนามัย 1 กล่อง บรรจุ 2 ชิ้น  ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้
สามารถติดตั้งได้สะดวก  และเคลื่อนย้ายได้ง่าย
  • มีน้ำหนักเบากะทัดรัด
  • เครื่องทำด้วยวัสดุแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย
สามารถกำหนดการหยอดเหรียญได้ไม่น้อยกว่า 2 ชนิด
  • มีระบบเก็บเหรียญอัตโนมัติที่ไม่ได้ขนาดตามที่กำหนด

         ปัญหาอุปสรรค ขณะนี้การติดตั้งตู้หยอดเหรียญ ได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วประมาณกว่า 2,000 ตู้  ทั่วประเทศ  เนื่องจากประสพปัญหาในการรณรงค์และขอความร่วมมือ  ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ในเฉพาะหน่วยงานสาธารณสุข  ในส่วนภาคเอกชนได้ประสบปัญหาต้นทุนในการประกอบการ   จำเป็นที่จะต้องจำหน่ายในราคา  10 บาท  ทำให้ไม่แพร่หลาย  ไม่เกิดความนิยมหรือจูงใจมากนัก และ  สถานประกอบการหลายแห่งเกรงว่าจะเสื่อมเสียภาพลักษณ์   ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมาก
ผลดีของตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัย
  1. สามารถให้การสนับสนุนบริการถุงยางอนามัย
  2. ได้อย่างทั่วถึงในชุมชนท้องถิ่น/โรงแรม/สถานเริงรมณ์/สถานศึกษาอาชีวะ/หอพัก,อพาร์ทเม้นต์
  3. เป็นกลวิธีในการรณรงค์ส่งเสริมให้มีการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่พึงประสงค์ โดยครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย สำหรับผู้มีรายได้น้อย
  4. สามารถประหยัดงบประมาณของรัฐที่จะจัดซื้อถุงยางอนามัย

บทสรุป         การมีตู้หยอดเหรียญถุงยางอนามัยติดตั้งให้บริการตามโรงแรม  สถานเริงรมณ์   หอพัก  สถานศึกษาระดับอาชีวะฯ นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคเอดส์  ตลอดจนลดปัญหาการทำแท้งในกลุ่มวัยรุ่นได้  เพราะเป็นการแก้ปัญหาได้ในกรณี  ที่คู่เพศสัมพันธ์ตระหนักถึงการป้องกันตนเอง  ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย  และไม่อยู่ในสถานะที่จะไปหาซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่กล้าซื้อตามร้านขายยา  ร้านสะดวกซื้อ  ที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ขายโดยตรง  รวมทั้งผู้ซื้อถุงยางอนามัยที่มีรายได้น้อยจะได้เข้าถึงได้ง่าย เนื่องจากมีราคาถูกกว่า
    ถุงยางอนามัยป้องกันโรคเอดส์ได้จริงหรือ 
 
                                
 
     การมีเพศสัมพันธ์โดยมีการป้องกันใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพยังไม่หมดอายุ มีการสวมและ ถอดถุงยางอนามัย อย่างถูกวิธีรวมทั้งเลือกใช้ขนาดที่เหมาะสม สามารถ ป้องกันเอดส์ได้แน่นอนเกือบ 100% ถ้าถุงยางไม่หลุด รั่ว ฉีกขาดและไม่มีบาดแผลบริเวณ อวัยวะเพศ ที่ไปสัมผัสสารคัดหลั่งจาก อีกฝ่ายหนึ่ง ก็เชื่อมั่นได้เต็มที่ 
ความสามารถในการป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 
 
ถุงยางอนามัยสามารถกีดขวางไม่ให้ตัวเชื้ออสุจิและเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ เข้าสู่ช่องคลอดได้ดังต่อไปนี้
       1. ตัวเชื้ออสุจิ (spermatozoa) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.003 มิลลิเมตร หรือ 3000 นาโนเมตร
       2. เชื้อก่อโรคซิฟิลิส (Treponema pallidum) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 600 นาโนเมตร
       3. เชื้อก่อโรคหนองใน (Neisseria gonorrhoeae) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 800 นาโนเมตร
       4. เชื้อก่อโรคหนองในเทียม (C. trachomatis) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 200 นาโนเมตร
       5. เชื้อไวรัสเอดส์ (HIV) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 125 นาโนเมตร
       6. เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี (hepatitis B virus) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 40 นาโนเมตร

ประสิทธิภาพของถุงยางอนามัย ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  ความนิยมและอัตราการใช้ถุงยางอนามัย
       ความนิยมใช้ถุงยางอนามัยมีอัตราแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราการใช้สูงเกือบร้อยละ 20 ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาใช้ไม่ถึงร้อยละ 5 ประเทศญี่ปุ่นได้ชื่อว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยมากที่สุดในโลก มีการใช้ถุงยางอนามัยเดสูงถึง ร้อยละ 80 ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

           ส่วนประเทศไทย แต่ก่อนนี้มีการใช้น้อยมาก แต่ตั้งแต่โรคเอดส์ระบาดคนไทยใช้ถุงยางอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  แต่การใช้ถุงยางอนามัยเพื่อคุมกำเนิดในคนทั่วไปก็ยังมีน้อย ก็ด้วยเหตุผลทางค่านิยมที่รังเกียจกลัวคนจะรู้ว่าตัวเองพกถุงยางอนามัย "อาย" ควรเปลี่ยนค่านิยมอันนี้เสียใหม่ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเอดส์ และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ 2 ทาง "คนที่ใช้ถุงยางอนามัยคือคนที่มีความรับผิดชอบ"

  การใช้ถุงยางอนามัยให้ได้ผลปลอดภัยสูงสุด
   
    - เก็บในที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป ไม่ให้ถูกแสง ไม่ควรเก็บในกระเป๋ากางเกง ควรใส่ในกระเป๋าหลวมๆ
    - ใช้ถุงยางอนามัยใหม่ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    - เวลาเปิดไม่ควรใช้ปาก กรรไกร หรือ เล็บ เพราะอาจทำให้ถุงยางฉีกขาดได้
    - ห้ามใช้ vasalin baby oil หรือ cold cream ในการหล่อลื่น เพราะอาจทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพ รั่วและฉีกขาดได้
    - ไม่เหมาะที่จะใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะจะเกิดแรงเสียดสีมาก และเกิดเลือดออก   ได้ง่าย จึงไม่ปลอดภัยพอ
    - หากต้องการใส่ยาฆ่า sperm ให้บีบใส่ปลายถุงยางอนามัย
    - หากปลายถุงยางไม่มีถุงสำหรับเก็บเชื้อ ให้ดึงปลายถุงยางซักครึ่งนิ้ว เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับเก็บเชื้อ
    - ม้วนถุงยางจนถึงโคนอวัยวะเพศ
    - หากสงสัยว่าถุงยางแตก ให้หยุดการมีเพศสัมพันธ์ในทันที
    - เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้วให้ใช้มือบีบปลายถุงยาง แล้วถึงอวัยวะเพศออก
    - ดึงถุงยางออกจากอวัยวะเพศ ระวังอย่าให้เชื้อหก แล้วนำไปทิ้ง
    - ชำระล้างมือ ฟอกสบู่เพื่อความสะอาด

 วิธีการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกวิธี
  • ก่อนซื้อควรแน่ใจว่าถุงยางอนามัยที่คุณจะซื้ออยู่ในสภาพที่ดี และยังไม่หมดอายุ
  • ฉีกซองอย่างระมัดระวัง ไม่ทำให้ถุงยางฉีกขาด
  • บีบรีดตรงปลายถุงก่อนจะค่อยๆ คลายม้วนขึ้นมาห่อหุ้มอวัยวะเพศที่กำลังแข็งตัว
  • หลังจากหลั่งอสุจิแล้ว ให้จับตรงขอบถุงยางไว้ แล้วค่อยดึงอวัยวะเพศออกจากถุงขณะที่ยังแข็งตัวอยู่
  • ห้าม ใช้สารหล่อลื่นชนิดที่ผสมน้ำมัน หากจำเป็นต้องใช้ ควรใช้สารหล่อลื่นชนิดที่เข้ากับน้ำ (water-based lubricants) เช่น  KY Jelly เป็นต้น
  วิธีการใช้ถุงยางอนามัย
       1. ผู้ที่ใช้ต้องใส่และถอดให้ถูกวิธี โดยให้ใส่เมื่ออวัยวะเพศแข็งตัวเต็มที่เท่านั้น
       2. บีบปลายกะเปาะไล่ลมแล้วสวมลงบนอวัยวะเพศรูดลงมาจนสุด
       3. เมื่อเสร็จการร่วมเพศ ต้องรีบดึงอวัยวะเพศออกขณะยังแข็งตัวอยู่ มิฉะนั้นถุงยางอาจจะหลุดอยู่ในช่องคลอดได้
       4. ต้องดึงออกโดยมิให้น้ำอสุจิไหลออกมาอยู่บริเวณอวัยวะเพศหญิง
       5. มีถุงยางอนามัยสำรองเตรียมพร้อมไว้เสมอ
 
  สาเหตุของการล้มเหลวในการใช้ถุงยางอนามัย
        1. การใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอ นับเป็นสาเหตุสำคัญในการคุมกำเนิด ซึ่งอาจมาจากความไม่ร่วมมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือใช้ถุงยางอนามัยสลับกับการนับวัน หรือหลั่งภายนอก
          2.การใช้ถุงยางอนามัยไม่ถูกวิธี เช่น คลี่ออกทั้งหมดก่อนสวมใส่ การใส่ผิดด้าน การใส่ที่ไม่เว้นส่วนติ่งไว้ (คือดึงมาจนสุดไม่เหลือติ่ง) ไม่ไล่อากาศออกจากติ่งกระเปาะ ถูกเล็บหรือของมีคม(กรณีให้สาวใส่ให้) การนำกลับมาใช้ใหม่หลังจากที่ใช้ไปพักหนึ่งแล้วถอดออก การไม่จับขอบตอนถอนสมอ การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม หลั่งแล้วแช่นานจนนกเขาหลับ การใช้ไม่ถูกวิธีเหล่านี้นำมาซึ่ง การแตก รั่ว เลื่อนหลุดของถุงยางอนามัย หรือการการปนเปื้อนของน้ำอสุจิบริเวณช่องคลอด
          3. การแตกของถุงยางอนามัย แม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
          4. การเลื่อนหลุดของถุงยางอนามัยแม้ได้ระมัดระวังอย่างดีแล้ว
 
 ปัญหาที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัยที่ไม่ถูกต้อง
       1. ใช้สารหล่อลื่นไม่ถูกต้อง ทำให้ถุงยางแตกหรือลื่นหลุด
       2. ไม่ใช้ถุงยางอนามัยใหม่แกะกล่อง
       3. ใช้ถุงยางเพียงครั้งแรกเท่านั้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์ต่อไปไม่ได้ใช้ถุงยาง
       4. ใช้ถุงยางอนามัยที่เสื่อมสภาพอย่างเห็นได้ชัด
       5. มึนเมาสุราหรือสารเสพติด จึงตัดสินใจถอดถุงยางทิ้งกลางคัน
       6. แกะถุงยางอนามัยออกมาเล่นก่อนมีเพศสัมพันธ์
       7. ใส่ถุงยางผิดด้านแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
       8. สำหรับผู้ที่ไม่ได้ขลิบปลายอวัยวะเพศ ต้องดึงหนังหุ้มรูดให้สุดเสียก่อน

 การแตกของถุงยางอนามัย 

       แม้ได้ใช้อย่างถูกวิธี ระมัดระวังอย่างดีก็ยังแตกได้ มีรายงานตั้งแต่ร้อยละ 1 ถึง 12 เฉลี่ยก็ร้อยละ 5 แต่ถ้าร่วมเพศทางทวารหนัก จะมากกว่านี้ จากการศึกษาของอีตา steiner แกพบว่า
          -  50% จะแตกตรงส่วนปลายปิด 
          -  25% 
แตกตรงตัวถุง
          -  25%  แตกตรงปลายเปิด แต่ที่สำคัญคือ กว่าจะรู้ว่าแตก ก็เสร็จกิจไปแล้ว ถึง 2 ใน 3 ของการแตก 

  แล้วมันแตกได้ยังไง 
     1. ใช้ไม่ถูกวิธี
      2. พฤติกรรมทางเพศ ที่ไม่เหมาะสม เช่น ร่วมเพศอย่างเมามันรุนแรง ยาวนาน หรือมีการเสียดสีอย่างมาก หรือช่องคลอดที่แห้งยังไม่พร้อมจะมีเพศสัมพันธ์ หรือช่องคลอดแห้งในสตรีวัยทอง
      3. การใช้สารหล่อลื่นที่ไม่เหมาะสม สารหล่อลื่นที่ใช้กับถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ จะต้องมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำหรือซิลิโคนเท่านั้น ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่ทำจากน้ำมันหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำมันโดยเด็ดขาด (petroleum and derivatives) รวมทั้งน้ำมันพืชด้วยนะครับ ยางกับน้ำมันไม่ถูกกันครับ จาการทดลองในห้องปฏิบัติการ พบว่า ความแข็งแรงของถุงยางอนามัยลดลงถึงร้อยละ 90 เมื่อถุงยางอนามัยสัมผัสกับสารหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน (เพียงแค่15นาที)
           อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ต้องสังวรไว้ก็คือความเชื่อที่เคยเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นที่สามารถล้างออกด้วยน้ำได้ ก็สามารถใช้ได้กับถุงยางอนามัยนั้น ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะมีผลิตภัณฑ์บางชนิดมีส่วนประกอบที่เป็นน้ำมันอยู่ด้วยก็มี
       4.ใช้ขนาดของถุงยางอนามัยไม่เหมาะสม ในเมืองไทย มี 2 ขนาด คือขนาด 49 มิลลิเมตร และขนาด 52 มิลลิเมตร ขนาดที่เหมาะสมกับคนไทยคือ ขนาด 49 มิลลิเมตร
       5. คุณภาพของถุงยางอนามัยไม่ดี ปกติถุงยางอนามัยที่มีจำหน่ายในตลาดเมืองไทย เขาก็ผลิตดี ได้มาตรฐาน ISO กันทั้งนั้น มีอายุเก็บไว้ได้นานถึง 5 ปี นับแต่วันที่ผลิตถ้าเก็บไว้อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่ที่คุณภาพไม่ดี ก็มักเกิดขึ้นหลังจากผลิตออกมาแล้วทั้งสิ้น เช่น เก็บไว้แล้วโดนแสงอุลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์(ตั้งโชว์ไว้หน้าร้าน) หรือโดนแสงนีออนนานๆ ความร้อน ความชื้น โอโซน ความเค็มของอากาศชายทะเล ล้วนเป็นเหตุให้ถุงยางอนามัยเสื่อมคุณภาพก่อนหมดอายุได้ทั้งสิ้น แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือพวกที่ชอบพกถุงยางอนามัยไว้ในกระเป๋าสตางค์ แค่เดือนเดียวก็หมดสภาพแล้ว
           แล้วที่โรงงานผลิตออกมาไม่ดี…ก็มีบ้าง แต่ก็น้อยมาก ๆ เช่น ความหนาของผิวยางไม่สม่ำเสมอ มีฟองอากาศ เป็นรอยพับย่น มีเศษวัสดุแปลกปลอม รอยตำหนิเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการแตกของถุงยางอนามัยได้เช่นกัน
  สารฆ่าเชื้ออสุจิ 

      ในสมัยปัจจุบันมีหลายบริษัทได้เพิ่มสารฆ่าตัวอสุจิเคลือบถุงไว้ด้วย ด้วยหวังว่าถ้าเกิดเผื่อถุงยางแตก หรือรั่วก็ยังพอมียาตัวนี้ช่วยฆ่าเชื้ออสุจิด้วย แม้ไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สารที่ใช้มีหลายประเภท แต่ที่นิยมกันมากเป็นสารประเภท surfactant หรือ surfactant active เป็นสารเคมีในกลุ่ม detergent สารเคมีประเภทนี้ฆ่าตัวอสุจิโดยการจู่โจมเยื่อหุ้มเซลล์ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของตัวอสุจิชำรุด เกิดการรั่วไหลของส่วนประกอบภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ตาย ตัวที่นิยมใช้กันมากที่สุด(หรือเกือบทั้งหมด) ได้แก่ สาร nonoxynol-9 มีชื่อทางเคมีว่า nonylphenoxyl-polyethoxye-thanol (ต่อมาก็มีการพัฒนามาใช้ nonoxynol-11้ ) ต่อมาพบว่าสารนี้สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางโรคได้ รวมทั้งเชื้อเอดส์ด้วย ได้มีการทดลองในหลอดทดลอง โดยเอาเชื้อเอดส์ และเซลล์ที่ติดเชื้อเอดส์มาผสมกับตัวยาnonoxynol-9 ผลปรากฏว่า เชื้อตายหมดภายในไม่กี่วินาที
  ถุงยางอนามัยสำหรับชายรักชาย
      ในชายรักชาย  พบมีการใช้ถุงยางอนามัยน้อยเพียงไม่ถึง 50% เท่านั้น   และควรใช้ถุงยางอนามัยชนิดหนาพิเศษ  เนื่องจากในชายรักชายนั้น  เมือมีการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก  ฝ่ายชายที่เป็นฝ่ายรับที่บริเวณช่องทวารหนักจะไม่มีสารหล่อลื่นตามธรรมชาติเหมือนผู้หญิงแท้  เมื่อสอดใส่อวัยวะเพศชายที่แข็งตัวเข้าไปหาใช้ถุงยางอนามัยแบบปกติ  โอกาสจะเกิดการฉีกขาดจะมีสูง
        ดังนั้นควรเลือกซื้อถุงยางอนามัยชนิด " หนาพิเศษ " ซึ่งจะพิมพ์ฉลากระบุไว้ข้างกล่องของถุงยางอนามัย  จะช่วยลดอัตราการฉีกขาดเวลามีเพศสัมพันธ์ของชายรักชายได้  และถึงแม้ถุงยางอนามัยจะได้รับการออกแบบให้แข็งแรงทนทานแล้ว  ทว่า... ถ้าทำรุนแรงหรือโลดโผนเกินไป ถุงยางอนามัยก็อาจจะถึงกับแตกได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น "เบาๆ ไว้..." จะช่วยลดการแตกของถุงยางอนามัยได้
       อีกทั้งในชายรักชายเมื่อจะมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก  ควรใช้สารหล่อลื่นที่ละลายได้ในน้ำ เช่น KY Jelly ฯลฯ ทาถุงยางอนามัยเพื่อช่วยการหล่อลื่นอีกทางหนึ่ง  แต่งดเว้นการนำน้ำมัน เช่น โลชั่นทาผิว (มีส่วนผสมของน้ำมันปนอยู่) น้ำมันพืช น้ำมันทาผิว น้ำมันแร่ (เช่น ปิโตรเลียมเจล) ลิปสติก ลิปมัน (ที่ใช้ทากันปากแตก) ฯลฯ ไปทาถุงยางอนามัย  เพราะจะทำให้เกิดการละลายของยาง  ถุงยางจะบางลง และมีโอกาสแตกได้ง่ายขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น